‘พิมพ์ภัทรา’เร่งเปิดเหมืองแร่โพแทช อุดรฯ สร้างรายได้รัฐ 3.5 หมื่นล้าน ขายปุ๋ยถูกกว่าท้องตลาด15% เชื่อสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในพื้นที่

%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%8A 1
‘พิมพ์ภัทรา’เร่งเปิดเหมืองแร่โพแทช อุดรฯ

น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการเข้าตรวจเยี่ยมและรับฟังการบรรยายสรุปความก้าวหน้าการดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตซจังหวัดอุดรธานี จากบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (APPC) ซึ่งเป็นผู้ได้รับประทานบัตรในการทำเหมือง ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินโครงการฯ (Project Finance) ซึ่งหากสถาบันการเงินให้การอนุมัติทางบริษัทฯ ก็จะเร่งรัดการผลิตแร่โพแทชให้ได้ภายใน 3 ปี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ส่วนการคัดค้านจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ที่กังวลต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจในพื้นที่ อาทิ มลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ และมลพิษทางดิน ผลกระทบต่อวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่นั้น ได้สั่งกำชับให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่ (กพร.) และอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี ร่วมกับบริษัทฯ ชี้แจง และจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลโครงการ และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ร่วมกำกับดูแลการทำเหมืองของบริษัทฯ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า กพร. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลโครงการฯ ได้กำหนดมาตรการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไว้หลายประการ อาทิ การติดตั้งเครื่องบำบัดฝุ่นในบริเวณก่อสร้างอุโมงค์ และเครื่องจักร การติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดคุณภาพอากาศในบริเวณพื้นที่เฝ้าระวัง การติดตามตรวจวัดเสียงไม่ให้เกินค่ามาตรฐาน และติดตั้งแผ่นป้องกันเสียงในบริเวณที่คาดว่าอาจได้รับผลกระทบ การรังวัดการทรุดตัวของพื้นที่ทำเหมืองด้วยกล้องสมัยใหม่ และโดรน การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทั่วไป การใช้เทคโนโลยีวัดผลกระทบในการก่อสร้างอุโมงค์ และการใช้เทคโนโลยีการป้องกันผลกระทบจากน้ำไหลเข้าอุโมงค์ เป็นต้น

“โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี จะทำให้ภาครัฐได้ค่าภาคหลวงแร่ 7% คิดเป็นเงินประมาณ 35,000 ล้านบาท ทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 1,000 อัตรา ขณะที่ชาวบ้านรอบพื้นที่โครงการฯ จะได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากโครงการ และกองทุนต่างๆ อีก 6 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมือง กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ กองทุนการศึกษาเพื่ออนาคตเยาวชน กองทุนประกันความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน กองทุนสวัสดิการชุมชน และกองทุนช่วยเหลือค่าปุ๋ยเกษตรกรในพื้นที่ประทานบัตร รวมทั้งเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินในพื้นที่ประทานบัตรจะได้รับเงินค่าทดแทน หรือ ค่าลอดใต้ถุน ไร่ละ 45,500 บาท แบ่งเฉลี่ยจ่าย 24 งวดตลอดอายุประทานบัตร” น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าว

น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทฯ จะจัดสรรจำหน่ายปุ๋ยสูตร 0-0-60 ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดไม่น้อยกว่า 15% เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี และเข้าร่วมโครงการมาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว และมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ รวมทั้งประชาชนผู้มีส่วนได้เสียกับโครงการที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้มีสิทธิตรวจสอบการทำเหมืองสามารถร่วมตรวจสอบการทำเหมืองได้ตามมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2560

“โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี มีพื้นที่ประมาณ 26,000 ไร่ ตั้งอยู่ในเขต อ.ประจักษ์ศิลปาคม และ อ.เมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ข้อมูลทางธรณีวิทยาพบว่า ปริมาณสำรองแร่โพแทชในพื้นที่ประทานบัตรทั้งหมดรวม 267 ล้านตัน สามารถนำแร่ขึ้นมาผลิตเป๊นปุ๋ยโพแทชได้ประมาณ 34 ล้านตัน โดยแร่โพแทชเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตหลักในภาคเกษตรกรรม โดยโครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี คำนึงถึงการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับชุมชนในพื้นที่อย่างเป็นธรรมที่สุด” น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าว